“เพกา” หรือบางท้องถิ่นเรียก “ลิ้นฟ้า” คือฝักของไม้ยืนต้นที่มีรูปร่างคล้ายดาบ และเป็นพืชสมุนไพรที่นำมาย่างกินคู่กับน้ำพริกบนโต๊ะอาหาร นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามีคุณสมบัติเป็นยาด้วย และเพื่อพิสูจน์การออกฤทธิ์เป็นยา ศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.เกรียงศักดิ์ เอื้อมเก็บ อาจารย์ประจำสาขาวิชาปรีคลินิก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จึงร่วมกับอาจารย์เบญจวรรณ ดุนขุนทด อาจารย์ประจำสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย คณะพยาบาลศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสมุนไพรตัวนี้ โดยมีความร่วมมือกับ ดร.กาญจนา ธรรมนู นักวิทยาศาสตร์ระบบลำเลียงแสง จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) เพื่อนำแสงซินโครตรอนมาร่วมวิเคราะห์
ทีมนักวิจัยมีความสนใจฤทธิ์ต้านการอักเสบของเพกา โดยนำความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการอักเสบมาใช้ออกแบบการทดลอง ซึ่งการอักเสบนั้นเป็นการตอบสนองปกติของร่างกายต่อสิ่งที่ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายได้รับความเสียหาย ในขณะที่เกิดการอักเสบจะเกิดการเคลื่อนที่ของพลาสมาและเม็ดเลือดขาวจากเลือดไปยังเนื้อเยื่อที่อักเสบ โดยเซลล์ที่มีบทบาทมากที่สุดในกระบวนการอักเสบ คือ “เซลล์แมโครฟาจน์” ซึ่งเซลล์ดังกล่าวนี้จะถูกกระตุ้นได้จากสารเคมีบางชนิดและสารประกอบจากแบคทีเรีย เช่น ไลโปโพลิแซคคาไรด์ (LPS) สารอินเตอร์เฟียรอนแกมมา (IFN-γ)
เซลล์แมโครฟาจน์ที่ได้รับการกระตุ้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานวิทยา การสร้างอนุมูลอิสระ (ROS) ภายในเซลล์ และไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ซึ่งจากการศึกษาและงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า ผัก ผลไม้ และธัญพืชมีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารกลุ่มฟีนอลิก และกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมนุษย์ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ
ในการศึกษาฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของสารสกัดจากเพกา ทีมวิจัยได้ศึกษาในโมเดลของเซลล์แมโครฟาจน์ที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS ร่วมกับ IFN-γ และผลการวิจัยพบว่า สารสกัดเพกามีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการสร้างอนุมูลอิสระและไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ พร้อมกันนี้ผู้วิจัยยังประยุกต์ใช้เทคนิค SR-FTIR microspectroscopy ที่ระบบลำเลียงแสง 4.1 ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เพื่อตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของสารชีวโมเลกุลภายในเซลล์แมโครฟาจน์ สำหรับใช้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมร่วมกับเทคนิคการตรวจวัดแบบดั้งเดิม เพื่อประเมินประสิทธิภาพของสารสกัดหรือยาต่างๆ ว่า สามารถต้านการสร้างอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบหรือไม่
การวิจัยครั้งนี้ทีมวิจัยคาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและค้นหากลุ่มพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา อีกทั้งเพื่อให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นสำหรับการศึกษาฤทธิ์ของสมุนไพรในอนาคต เนื่องจากการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงเบื้องต้นของสารชีวโมเลกุลในโมเดลที่ใช้ทดสอบ จะทำให้นักวิจัยมุ่งเป้าได้เร็วขึ้นว่าควรจะศึกษาฤทธิ์เภสัชวิทยาใด เช่น หากพืชสมุนไพรมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอ จะช่วยให้นักวิจัยตระหนักถึงความปลอดภัยของการใช้พืชสมุนไพร หรือ การพัฒนาพืชสมุนไพรเพื่อใช้เป็นยาฆ่ามะเร็งได้ และหากในอนาคตมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาโดยใช้แสงซินโครตรอนในจำนวนที่มากพอระดับที่มีความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่มี อาจสามารถสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสเปกตรัมเพื่อใช้บ่งชี้ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาเบื้องต้นได้