วันนี้ (29 ส.ค.57) สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และบริษัทสยามวิจัยและนวัตกรรม จำกัด บริษัทในเครือSCG Cement-Building Materials ลงนามขยายระยะเวลาMOUมุ่งเน้นงานวิจัยพัฒนาวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อการแข่งขันระดับโลก
ศาสตราจารย์นาวาอากาศโท ดร.สราวุฒิ สุจิตจร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) และ ดร.ปริญญา สายน้ำทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามวิจัยและนวัตกรรม จำกัด ได้ร่วมลงนามขยายระยะเวลาบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านวัสดุก่อสร้างในวันนี้ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับงานวิจัยไทย โดยเฉพาะงานวิจัยทางด้านปูนซีเมนต์ เนื่องจากเทคโนโลยีแสงซินโครตรอนเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง และมีแห่งเดียวในเมืองไทย คือ ที่สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน จังหวัดนครราชสีมา แสงซินโครตรอนสามารถให้ข้อมูลเชิงลึก ในการวิเคราะห์โครงสร้างของวัสดุก่อสร้างได้ ทั้งในระดับอะตอม ระดับนาโนเมตร โครงสร้างผลึกและการจัดเรียงตัวของโมเลกุล ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้สัมพันธ์โดยตรงกับคุณสมบัติของวัสดุ สามารถนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ตามที่ต้องการได้
ศาสตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สราวุฒิ สุจิตจร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า "บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับแรกนั้น ได้ลงนามร่วมกันมาเมื่อปี พ.ศ.2555 ในช่วงเวลา 2 ปี ที่ผ่านนั้น ทั้งสององค์กรได้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทั้งในด้านวิชาการ ได้แก่ การใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนจากนักวิจัยของบริษัทสยามวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งประสบความสำเร็จ มีผลงานวิจัยที่นำเสนอในการประชุมเชิงวิชาการระดับนานาชาติ นอกจากนั้นยังมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านงานบริหารองค์กร โดยเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า บริษัทสยามวิจัยและนวัตกรรม จำกัดมีโครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง โปร่งใส และมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีของการบริหารองค์กร"
นอกจากนั้น ดร.ปริญญา สายน้ำทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสยามวิจัยและนวัตกรรม จำกัด ในเครือSCG Cement-Building Materials ได้เปิดเผยว่า "การที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าอยากได้และสามารถไปแข่งขันในตลาดโลกได้นั้น จำเป็นที่เราจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงองค์ประกอบและสมบัติของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่เรามี เพื่อที่จะทำให้เราสามารถนำความรู้เหล่านั้นไปต่อยอด และสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมใหม่ได้ โดยการที่จะได้มาซึ่งความรู้เชิงลึกเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า ซินโครตรอน"
ดร.ปริญญา ยังกล่าวอีกว่า“การลงนามขยายเวลาบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อการพัฒนานวัตกรรมของไทยอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของงานวิจัยวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”
หลังจากพิธีลงนามความร่วมมือดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และร่วมเยี่ยมชม “ห้องปฏิบัติการแสงสยาม” ซึ่งถือว่าเป็นห้องปฏิบัติการแสงซินโครตรอนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และมีมาตรฐานพร้อมให้บริการกับบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ