สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ใช้กล้องจุลทรรศน์อินฟราเรดตรวจน้ำเหลือง จำแนกความผิดปกติของผู้ป่วยโรคตับในระยะต่างๆ หวังสร้างทางเลือกการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งตับในอนาคต ที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการรักษาให้มากยิ่งขึ้น
มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งในแต่ละปีจะมีการเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยประมาณ15,000 ราย พบผู้เสียชีวิตประมาณร้อยละ 87 เนื่องจากผู้ป่วยมักจะได้รับการวินิจฉัยโรคในระยะสุดท้ายซึ่งอยู่ในระยะลุกลามจึงไม่สามารถทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
ดร.กาญจนา ธรรมนู นักวิจัยของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กล่าวว่า คณะนักวิจัยจากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ประยุกต์ใช้กล้องจุลทรรศน์อินฟราเรดสร้างฐานข้อมูล เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างน้ำเหลืองของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ น้ำเหลืองของผู้ป่วยโรคตับแข็ง และน้ำเหลืองของคนปกติ ผลการทดลองพบว่าจากข้อมูลสเปคตรัมอินฟราเรดสามารถสร้างฐานข้อมูลตัวบ่งชี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ ผู้ป่วยโรคตับแข็ง และของคนปกติ กลุ่มละ 10 ราย มีความถูกต้องถึงร้อยละ 96 อีกทั้งเมื่อนำฐานข้อมูลดังกล่าวมาใช้ทดสอบจริงในการแยกตัวอย่างน้ำเหลืองของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ 18 ราย พบว่าสามารถใช้แยกตัวอย่างน้ำเหลืองของผู้ป่วยได้ถูกต้องถึงร้อยละ 83
ด้าน ดร.ศุลีพร แสงกระจ่าง นักวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งตับในขั้นต้น จะใช้วิธีการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของตับ และตรวจวัดระดับของอัลฟาฟีโตโปรตีน (AFP) ในเลือด ซึ่งพบว่าจะมีปริมาณสูงในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ แต่ระดับ AFP มีผลสอดคล้องกับผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในบางรายเท่านั้น ดังนั้นคณะนักวิจัยจาก 2 สถาบัน จึงใช้เทคนิคกล้องจุลทรรศน์อินฟราเรด ณ ห้องปฏิบัติการแสงสยาม ในการวิเคราะห์น้ำเหลือง หรือ ซีรั่ม (serum biomarkers)ของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการตรวจหาตัวบ่งชี้ของโรคมะเร็งตับ และความเป็นไปได้ในการใช้ตัวบ่งชี้นี้ร่วมกับการตรวจ AFP การตรวจการทำงานของตับและการตรวจทางรังสีในการแยกกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งตับ เพื่อให้การวินิจฉัยโรคมีความแม่นยำมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการศึกษาครั้งนี้ เป็นเพียงการศึกษาขั้นต้น จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นการประยุกต์ใช้กล้องจุลทรรศน์อินฟราเรดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการตรวจวินิจฉัยเพื่อรักษาโรคมะเร็งตับในอนาคต