เอสซีจี เคมีคอลส์ จับมือ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ทุ่มงบ 20 ล้านบาท เปิด SCG Chemicals Research Unit พร้อมพัฒนาอุปกรณ์ตรวจวัดพอลิเมอร์ด้วยแสงซินโครตรอนแห่งเดียวในอาเซียน รองรับนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เชื่อมั่นกลุ่มวิจัยซินโครตรอนและเอสซีจี เคมิคอลส์จะร่วมกันขับเคลื่อน คิดค้น และพัฒนางานวิจัยด้านพอลิเมอร์ ผลักดันนวัตกรรมสู่ระดับสากล สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมและประเทศ
ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนา หัวหน้ากลุ่มธุรกิจ – เทคโนโลยี เอสซีจี เคมิคอลส์ กล่าวว่า “แสงซินโครตรอน เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ที่ตอบโจทย์งานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท ที่ผ่านมา เอสซีจี เคมิคอลส์ ได้เข้ามาทำวิจัยกับทางสถาบันฯ โดยใช้แสงซินโครตรอนในการวิจัยและพัฒนาเม็ดพลาสติกเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่ปี 2554 และมีการพัฒนางานวิจัยด้วยแสงซินโครตรอนมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ด้วยงบประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสถานีทดลอง รวมถึงการจัดตั้ง SCG Chemicals Research Unit หรือหน่วยวิจัยของเอสซีจี เคมิคอลส์ ภายในสถาบันขึ้น เพื่อให้นักวิจัยของเราเข้าถึงอุปกรณ์ตรวจวัดชนิดพิเศษ และได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยให้เราพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มออกสู่ตลาดได้มากขึ้น ทั้งยังสามารถต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมร่วมกับพันธมิตรด้านการวิจัยทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การเปิด SCG Chemicals Research Unit ยังเป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์การผลักดันงานด้านวิจัยและพัฒนาของเอสซีจี เคมิคอลส์ด้วย เราเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะนำไปสู่การยกระดับความสามารถในการพัฒนางานวิจัยพอลิเมอร์ของไทยให้ทัดเทียมประเทศชั้นนำ เพื่อให้บริษัทคนไทยสามารถสร้างนวัตกรรมและแข่งขันในระดับโลก”
ศาตราจารย์ นาวาอากาศโท ดร.สราวุฒิ สุจิตจร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เปิดเผยว่า “สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนมีความยินดียิ่งที่บริษัทเอสซีจีเคมีคอลล์ ตัดสินใจร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและลงนามสัญญาวิจัยโครงสร้างพอลิเมอร์โดยใช้แสงซินโครตรอน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทั้งต่องานวิจัยของบริษัท และสถานีทดลองของสถาบันฯ โดยจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจวัดชนิดพิเศษซึ่งสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัดเดิมของสถาบันฯ ทำให้วัดตัวอย่างในเทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมแคบ และการกระเจิงรังสีเอกซ์มุมกว้างไปพร้อมกันได้ ช่วยให้ทำการทดลองได้เร็วกว่าเดิมถึง 2 เท่า ทั้งยังให้ผลการทดลองที่ถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งยืนยันการใช้ประโยชน์เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของชาติ ให้ประเทศไปสู่การเป็น Thailand 4.0 อย่างมั่นคงเข้มแข็ง”