018 20170920 224608

สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดึง 4 บริษัทเอกชน ได้แก่ บริษัท เนเชอรัลเบฟ จำกัด, บริษัท อินเตอร์ อโกร เทค, บริษัท วัซซาดุ ทรานส์มีเดีย จำกัด และหจก.อุดร เนเจอรอล แอนด์ ฟลอสส์ โปรดักส์

ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับภาคอุตสาหกรรม ยกระดับงานวิจัยจากการใช้ประโยชน์จากแสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ปรับปรุงกระบวนการผลิต สร้างนวัตกรรมทั้งทางด้านอาหาร เกษตร และวัดสุศาสตร์ รองรับการเติบโตอุตสาหกรรมในประเทศ และพร้อมก้าวเข้าสู่การแข่นขันในระดับสากล

         ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับภาคอุตสาหกรรม กล่าวว่า “สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน นับว่าเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะในการวิเคราะห์ วิจัย การปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ภาคอุตสาหกรรม รองรับยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ New Engines of Growth เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้านวัตกรรม และเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยอุตสาหกรรมการผลิต ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม โดยเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน ณ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ ที่ถือได้ว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีการประยุกต์ใช้ในหลากหลาย ทั้งทางเกษตร สิ่งแวดล้อม การแพทย์ วัสดุศาสตร์ และอุตสาหกรรม

         ​ในครั้งนี้ ได้มีการลงนามความร่วมมือระหว่าง สถาบันฯ กับภาคเอกชนถึง 4 บริษัท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำแสงซินโครตรอนมาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม ส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้สามารถรองรับการแข่งขันได้ในระดับสากล สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาประเทศ สู่ยุคไทยแลนด์ 4.0”

         ด้าน ศ. น.ท. ดร.สราวุฒิ สุจิตจร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เปิดเผยว่า “สถาบันฯ ดำเนินงานภายใต้พันธกิจการวิจัยและการใช้ประโยชน์จากแสงซินโครตรอน รวมถึงการให้บริการแสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีด้านแสงซินโครตรอน ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานวิจัยหลากหลายด้าน ซึ่งการลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับภาคอุตสาหกรรมในวันนี้เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่มีความท้าทาย เพราะเป็นการลงนามร่วมกันถึง 4 บริษัท อันได้แก่ บริษัท เนเชอรัลเบฟ จำกัด, บริษัท อินเตอร์ อโกร เทค, บริษัท วัซซาดุ ทรานส์มีเดีย จำกัด และหจก.อุดร เนเจอรอล แอนด์ ฟลอสส์ โปรดักส์
​ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทได้นำโจทย์วิจัยมาปรึกษากับทางสถาบันฯ เช่น บริษัท อินเตอร์ อโกร เทค ที่ประกอบธุรกิจผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีรายใหญ่ บริษัทให้ความสนใจใช้เทคโนโลยีแสงซินโครตรอนศึกษาองค์ประกอบทางเคมีที่มีอยู่ในมูลค้างคาว เช่น ไคโตซาน และฮอร์โมนที่จะเร่งการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนั้น ยังได้ศึกษาอัตราการซึมผ่านรวมถึงความสามารถในการควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารของปุ๋ยอินทรีย์เคมีจากมูลค้างคาวเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี ด้วยการถ่ายภาพสามมิติของการซึมผ่านของน้ำเข้าไปในเม็ดปุ๋ยเทคนิค X-ray Imaging and X-ray Tomographic Microscopy เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการผลิตปุ๋ยจากมูลค้างคาวให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้นต่อไป
และอีกหนึ่งบริษัท คือ บริษัท เนเชอรัลเบฟ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผัก ผลไม้พร้อมดื่ม รวมถึงน้ำผักและผลไม้สกัดเข้มข้น ผลไม้อบแห้ง ต้องการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากลำไย โดยงานวิจัยเบื้องต้นของสถาบันฯ พบว่า สารสกัดจากลำไยของบริษัทมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ทางชีวภาพสูง สามารถนำมาประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการเพิ่มมูลค่าลำไยและยังจะสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกลำไยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
​         ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีห้างหุ้นส่วนจำกัด อุดร เนเจอรอล แอนด์ ฟลอสส์ โปรดักส์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจ SME ท้องถิ่น ได้นำตัวอย่างไหมขัดฟันเข้ามาศึกษาองค์ประกอบทางเคมีระหว่างไหมขัดที่ผลิตจากไหมธรรมชาติและไนลอน เพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ไหมขัดฟันจากเส้นไหมธรรมชาติ ซึ่งจากการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า ไหมขัดฟันจากไหมธรรมชาติมีความแข็งแรงต่อแรงดึงมากกว่าไหมจากไนลอน นำไปสู่การพัฒนาต่อยอดการควบคุมคุณภาพขี้ผึ้งในการเคลือบไหมขัดฟันให้มีความหนาที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ รวมไปถึงกระบวนการเพิ่มกลิ่น – รส ของไหมขัดฟันต่อไป
         และความร่วมมือที่เกิดขึ้นอีกหนึ่งบริษัทคือ วัซซาดุ ทรานส์มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายกลุ่มวิจัยจากภาคเอกชนหลากหลายภาคส่วน โดยในอนาคตวัซซาดุ ทรานส์มีเดียและสถาบันฯจะร่วมกันสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดหวังขยายฐานกลุ่มลูกค้าเอกชนที่เข้ามาใช้บริการแสงซินโครตรอน อีกทั้งจะมีการนำเทคโนโลยีแสงซิน โครตรอนมาช่วยในวิจัยเชิงลึกทางวัสดุศาสตร์เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสามารถนำไปใช้กับภาคเอกชนได้จริง
จะเห็นได้ว่า บริษัทเหล่านี้ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในงานด้านวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม ผสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ยกระดับความสามารถในการวิจัยโดยการใช้ประโยชน์จากแสงซินโครตรอนและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศ ให้สามารถเข้าสู่ภาคเอกชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่ความเติบโตที่ยั่งยืน มั่นคง และเข้มแข็งในระยะยาวต่อไป
​สำหรับการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากสถาบันวิจัยฯ จะเข้าไปมีบทบาทในเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ยังรวมถึงการให้คำปรึกษาโจทย์วิจัยต่างๆ จากนักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นการบูรณาการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพงานวิจัยของทั้งสี่บริษัทฯ ให้ก้าวไปสู่การสร้างนวัตกรรมด้านอาหาร เกษตร และวัดสุศาสตร์ที่พร้อมแข่งขันในระดับสากลอย่างยั่งยืน”